วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การเงิน การคลังและนโยบายแก้ไขและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

การเงิน  การคลังและนโยบายแก้ไขและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
 เรื่องที่  1  การเงินและสถาบันทางการเงิน
 1.1  การเงิน
 1.1.1  ความหมายของเงิน
            เงิน  คือ  สิ่งที่ทุกคนในสังคมยอมรับกันในขณะนั้นให้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน  และใช้วัดมูลค่าของสินค้าและบริการทุกชนิด 
  1.1.2  วิวัฒนาการการแลกเปลี่ยน
          มนุษย์รู้จักการแลกเปลี่ยนซื้อขายสิ่งของมาตั้งแต่สมัยโบราณ  ในระยะแรกๆการแลกเปลี่ยนไม่สลับซับซ้อนมากนัก  คือการแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของกันก่อน  ต่อมาจึงมีการแลกเปลี่ยนโดยใช้วัตถุเป็นสื่อกลาง  จนกระทั่งรู้จักใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเช่นปัจจุบัน  วิวัฒนาการเงินตราซึ่งอาจแยกออกเป็น  ระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช้เงินตรา  กับระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตรา
          1)  ระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช้เงินตรา    หรือการแลกเปลี่ยนโดยตรง (Barter System) 
เป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของ  เป็นระบบเศรษฐกิจในสมัยโบราณ  เมื่อต้องการสินค้าก็จะนำสินค้าที่ตนหามาได้นั้นไปแลกกับสิ่งที่ตนต้องการ  เป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของ  ในการแลกเปลี่ยนระบบนี้มีข้อยุ่งยากและไม่สะดวกอยู่หลายประการ  คือ
                   1.1)  ความต้องการมักไม่ตรงกัน  การแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความต้องการตรงกัน  และจะต้องมีความต้องการตรงกันทั้งจำนวนและชนิดของสิ่งของที่จะนำมาแลกกัน  มิฉะนั้นก็จะแลกกันหรือตกลงกันไม่ได้
                   1.2)  ขาดมาตรฐานในการวัดมูลค่า  การแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของนั้นไม่มีมาตรฐานในการแลกเปลี่ยน  เช่น  ผ้าสักกี่ผืนจึงจะแลกวัวได้  1  ตัว  หรือข้าวสารกี่ถังจึงจะแลกวัวได้  1  ตัว  ต่างฝ่ายก็ต้องการได้สิ่งของจำนวนมาก
                   1.3)  ยุ่งยากในการเก็บรักษา  การเก็บรักษาสิ่งของมีข้อยุ่งยากมาก  เช่น  เปลืองเนื้อที่  และของบางอย่างอาจเสื่อมคุณภาพหรือเน่าเสียได้ง่าน
          2)  ระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตรา  หรือการใช้เงินเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน (Exchange System with money) วิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตรา  มีลำดับความเป็นมาดังนี้
              2.1)  เงินที่เป็นสิ่งของหรือสินค้า   เกิดขึ้นเนื่องจากระบบการแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของโดยตรงมีข้อยุ่งยากอยู่หลายประการ  มนุษย์จึงเกิดความคิดที่จะใช้วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งใครๆก็อยากได้  และยินดีให้แลกกับสิ่งของที่เขามีอยู่  เช่น  ผ้าขนสัตว์  ลูกปัด  เปลือกหอย  เป็นต้น
          2.2)  เงินกษาปณ์  เมื่อมนุษย์ค้นพบแร่  เช่น  เหล็ก  ทองแดง  ดีบุก  ซึ่งเป็นของที่เหมาะสมแก่การใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน  เพราะมีความคงทน  ไม่เน่าเปื่อยง่าย   แต่เดิมมนุษย์ใช้ตามสภาพเดิมของโลหะ  ยังไม่รู้จักหลอมทำรูปร่างเหมือนปัจจุบัน  ทำให้ไม่สะดวกแก่การแลกเปลี่ยนเพราะต้องคอยตรวจสอบน้ำหนักและเลือกดูว่าเนื้อโลหะแท้หรือไม่แท้  บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เพียงใด  ต่อมาจึงมีการรับรองน้ำหนักและรับรองความบริสุทธิ์โดยประทับตราทำเครื่องหมายรับรองไว้เป็นสำคัญ  จึงเรียกว่าเงินตรา  เงินตราที่ทำด้วยโลหะต่างๆเรียกว่าเงินกษาปณ์หรือเหรียญกษาปณ์
          2.3)  เงินกระดาษ  เมื่อการติดต่อค้าขายขยายตัวมากขึ้นการชำระเงินโดยใช้เหรียญกษาปณ์คราวละจำนวนมากๆจึงเป็นเรื่องไม่สะดวกเพราะทั้งมีน้ำหนักมากและเปลืองเนื้อที่  มนุษย์จึงคิดทำเงินกระดาษขึ้นใช้แทนเหรียญกษาปณ์  ซึ่งเรียกว่าธรบัตร  เงินกระดาษนี้ชาติจีนเป็นชนชาติแรกที่เริ่มใช้  ต่อมาชาวอาหรับนำเข้าไปใช้ในยุโรปจนเป็นที่นิยมแพร่หลายควบคู่กับเหรียญกษาปณ์
          2.4)  เช็คเงินฝาก   เป็นเงินที่เกิดขึ้นในสังคมเศรษฐกิจสมัยใหม่ ที่ระบบธนาคารได้แพร่หลายขึ้นแล้ว  ผู้ชำระหนี้โดยใช้เช็คจะต้องฝากเงินในระบบธนาคารซึ่งต้องเป็นเงินฝากประเภทกระแสรายวัน 
1.1.3  ประเภทของเงิน
          1) เงินปฐมภูมิ (เงินผลิตภัณฑ์) : เงินที่มีมูลค่าในตัวเอง คือ เงินที่ทำหน้าที่เหมือนสินค้าทั่วๆไปด้วย เช่น หนังสัตว์ แร่ธาตุต่างๆ
          2) เงินทุติยภูมิ (เงินที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์) : เงินที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเท่านั้นไม่มีมูลค่าในตัวเอง
ปัจจุบัน เงินแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ เหรียญกษาปณ์ ธนบัตร และเงินฝากกระแสรายวัน (เช็ค) ซึ่งทั้งหมดจัดเป็นเงินทุติยภูมิ
1.1.4  ลักษณะของเงินที่ดี
          1)  เป็นของที่หายาก  เนื่องจากเงินเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน  เงินมักเป็นสิ่งของหรือโลหะที่หายาก  หรือมาหล่อหลอมประดับก็จะมีค่าในตัวของมันเอง
          2)  เป็นของที่ดูออกง่าย  สามารถดูแล้วรู้ว่าเป็นเงินปลอมหรือเงินจริง
          3)  เป็นของที่มีมูลค่าคงตัว  คือมีมูลค่าคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อเทียบกับสิ่งของชนิดอื่น
          4)  เป็นของที่แบ่งออกเป็นส่วนย่อยได้  สามารถแบ่งออกเป็นส่วนย่อยได้โดยที่มูลค่าของส่วนที่แบ่งย่อยนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง
          5)  เป็นของที่ขนย้ายสะดวก  เพราะเงินเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องพกพาเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนจึงควรมีขนาดเล็กและเบาเพื่อสะดวกในการพกพา
          6)  เป็นสิ่งที่คงทนถาวร  เงินควรมีความคงทนไม่แตกหักง่ายเก็บไว้นานเพียงใดก็ไม่เป็นสนิมหรือเน่าเปื่อยผุพัง
  1.1.5  หน้าที่ของเงิน
          1)  เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน  (Medium  of  Exchange)
                   เงินจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่างๆ  ทำให้ทุกคนมีเสรีภาพในการเลือก  เพราะการมีเงินทำให้เกิดอำนาจซื้อ  ที่ทำให้ผู้ซื้อสามารถซื้อหาสินค้าและบริการในเวลาใดหรือจากผู้ใดก็ได้
          2)  เงินเป็นมาตรฐานในการเทียบค่า  (Standard  of  Value)
                   สมัยที่มนุษย์ใช้ใช้ระบบแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของ  มนุษย์ต้องยุ่งยากอยู่มาก  เช่น  นำข้าวสาร  1  ถัง  ไปแลกวัวได้เพียง  1  ขา  และเจ้าของวัวก็จะไม่ยอมแลกเพราะต้องตัดขาวัววัวก็จะตาย  เนื่องจากระบบนี้ไม่มีมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนที่แน่นอนจึงกำหนดตามความพอใจของตนเอง  เมื่อมนุษย์นำเงินมาใช้ทำหน้าที่เป็นมาตรฐานในการเทียบค่า  ทำให้การซื้อขายสะดวกมีมาตรฐานที่แน่นอน  ที่เรียกว่าราคา 
          3)  เงินเป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ภายหน้า  (Standard  of  Deferred  Payments)
                   ในการค้าขายหรือประกอบธุรกิจต่างๆ  อาจมีการผัดเวลาในการระชำระเงินจากปัจจุบันไปเป็นอนาคต  เงินจะเป็นสัญญาในการชำระหนี้ภายหน้าได้ดีแต่ลูกหนี้จะต้องเสียค่าดอกเบี้ยรวมไปด้วย
          4)  เงินเป็นเครื่องรักษามูลค่า  (Store  of  Value)
                   หากเมื่อเราเก็บหรือออมเงิน  เงินจะทำหน้าที่เป็นเครื่องรักษามูลค่าคือมีมูลค่าคงตัวอยู่เสมอ แต่ถ้าเก็บทรัพย์สินในรูปของเมล็ดพืช  เกลือ  หนังสัตว์  มูลค่าของทรัพย์สินอาจเปลี่ยนแปลงขึ้นลง  หรือบางชนิดอาจเน่าเสียได้
  1.1.6  ปริมาณเงิน
          ปริมาณเงิน  คือ  จำนวนเงินที่ที่พร้อมที่จะใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการและชำระหนี้ตามความต้องการได้ทันที  โดยทั่วไปจำแนกได้เป็น  2  ประเภท  คือ
          1)  ปริมาณเงินตามความหมายอย่างแคบ  เป็นปริมาณเงินที่ประชาชนถือไว้เพื่อเป็นสื่อในการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน  ประกอบด้วย
                   1.1)  ธนบัตรที่ถือโดยประชาชน
                   1.2)  เหรียญกษาปณ์ที่ถือโดยประชาชน
                   1.3)  เงินฝากกระแสรายวันที่ถือโดยประชาชน
          2)  ปริมาณเงินตามความหมายอย่างกว้าง  เป็นปริมาณเงินที่ประชาชนถือไว้เพื่อเป็นสื่อในการซื้อขายแลกเปลี่ยน  รวมทั้งเงินที่ถือไว้เป็นเครื่องสะสมค่าและเพื่อหาผลตอบแทน  ประกอบด้วย
                   2.1)  ธนบัตรที่ถือโดยประชาชน
                   2.2)  เหรียญกษาปณ์ที่ถือโดยประชาชน
                   2.3)  เงินฝากกระแสรายวันที่ถือโดยประชาชน
                   2.4)  เงินฝากออมทรัพย์ที่ถือโดยประชาชน
                   2.5)  เงินฝากประจำที่ถือโดยประชาชน
    1.1.7  มูลค่าของเงิน
          มูลค่าของเงินมี  2  กรณีคือ
          1)  ค่าภายนอกของเงิน  คือราคาของเงินตราสกุลหนึ่ง  เมื่อคิดเป็นเงินตราของสกลุต่างๆ  ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ  เช่น  เงิน  1  ดอลลาร์  มีค่าเทียบกับเงินบาทของไทย  เท่ากับ  36  บาท  เป็นต้น  อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจึงเป็นเหมือนราคาสินค้าชนิดหนึ่ง  มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงิน  เรียกโดยทั่วไปว่า  เงินแข็งค่า  มูลค่าที่ลดลงของเงิน  เรียกโดยทั่วไปว่า  เงินอ่อนค่า  มูลค่าที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของเงินเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่นเกิดจากอุปสงค์ของตลาดเงิน  เช่น  หากตลาดเงินมีความต้องการซื้อเงินบาทมากมีผลทำให้ค่าของเงินบาทเพิ่มสูงขึ้น  เป็นต้น
          2)  ค่าภายในของเงิน  คือความสามารถหรืออำนาจซื้อ  ที่เงินแต่ละหน่วยจะซื้อสินค้าและบริการได้   เช่น  หากซื้อข้าวสาร  1  ถัง  ราคา  160  บาท  ต่อมา  หากซื้อข้าว  1  ถัง  ชนิดเดียวกันราคา  180  บาท  ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก  ราคาข้าวอาจสูงขึ้น  หรือค่าภายในของเงินลดลง
    1.1.8  อำนาจซื้อ
          อำนาจซื้อ  คือ  ความสามารถของเงิน  1  หน่วย  ที่จะสามารถซื้อสินค้า  และบริการได้มากน้อยเพียงใด  จำนวนสินค้าและบริการที่เงินหนึ่งหน่วยสามารถแลกมานั้น  คือ  ค่าของเงินหรืออำนาจซื้อของเงินนั่นเอง  เครื่องมือที่ใช้วัดความเปลี่ยนแปลงอำนาจซื้อของเงินคือระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไป  หากปรากฏว่าระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปเพิ่มขึ้น  อำนาจซื้อของเงินที่แท้จริงก็ลดลง  เช่น  เงิน  10  บาท  ซื้อข้าวได้  1  จาน  แต่ปัจจุบันต้องใช้เงินถึง  20  บาท  จึงจะซื้อข้าวได้  1  จาน  ในทางกลับกันระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดลง  อำนาจซื้อของเงินที่แท้จริงก็สูงขึ้น  เป็นต้น  
    1.1.9  สภาพคล่อง
          สภาพคล่อง  หมายถึง  คุณสมบัติหรือทรัพย์สินที่จะเปลี่ยนเป็นสิ่งของหรือบริการอย่างอื่นได้ง่าย  และไม่เสียหายหรือเสียหายน้อย  เงิน  จึงเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องมากที่สุด  ก็เพราะเงินสามารถนำไปซื้อสินค้าและบริการได้ทันที 
 1.2  สถาบันทางการเงิน
  1.2.1  ความหมายของสถาบันทางการเงิน
สถาบันทางการเงิน  หมายถึง  หน่วยงานที่ทำหน้าที่ระดมเงินออมและให้กู้ยืมแก่ผู้ที่ต้องการเงินไปเพื่อการบริโภค  หรือเพื่อการดำเนินทางธุรกิจ
  1.2.2  ความเป็นมาของสถาบันทางการเงินในประเทศไทย
          สถาบันการเงินประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อไทยทำการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ  ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  โดยชาวอังกฤษได้เข้ามาตั้งธนาคารฮ่องกงและเซี้ยงไฮ้  เมื่อพ.ศ.2431  ธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นระยะแรกๆล้วนเป็นของชาวต่างประเทศทั้งสิ้น    ใน พ.ศ. 2449  จึงมีการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ของไทยขึ้นเป็นครั้งแรก  ชื่อ  แบงก์สยามกัมมาจล  ทุนจำกัด  และเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารไทยพาณิชย์  จำกัด เมื่อ  พ.ศ.2482 
  1.2.3  ประเภทของสถาบันทางการเงิน
          สถาบันทางการเงินแบ่งออกได้เป็น  2  ประเภท  ดังนี้ 
          1)  สถาบันการเงินที่ประกอบกิจการธนาคาร  
                   1.1)  ธนาคารกลาง
                   1.2)  ธนาคารพาณิชย์
                   1.3)  ธนาคารเฉพาะ
          2)  สถาบันการเงินที่ไม่ประกอบกิจการธนาคาร
  1.2.4  ธนาคารกลาง (Central  Bank)
          ธนาคารกลางทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางและจัดระบบทางการเงินของประเทศ   อำนวยประโยชน์แก่เศรษฐกิจส่วนรวม  ปัจจุบันประเทศต่างๆทั่วโลกส่วนใหญ่มีธนาคารกลางเป็นของตนเอง  ธนาคารกลางของหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยส่วนใหญ่มีแบบอย่างมาจาก  ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ  (Bang  of  England) 
          ธนาคารกลางของประเทศไทยเริ่มดำเนินการ  เมื่อ  พ.ศ.2483  ชื่อธนาคารชาติไทย  ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง  ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2485  ได้เปลี่ยนชื่อเป็น  ธนาคารแห่งประเทศไทย  (Bang of  Thailand หรือเรียกย่อๆว่า  BOT)  ช่วงแรกได้เช่าธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้  ถนนสี่พระยา  เป็นที่ทำการชั่วคราวจนถึง  พ.ศ.2488  จึงย้ายไปที่วังบางขุนพรหม  ต่อมาได้สร้างอาคารสำนักงานขึ้นใหม่ในบริเวณวังบางขุนพรหม  เปิดใช้เมื่อ พ.ศ.2525  ธนาคารแห่งประเทศไทย  ดำเนินการตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย  พ.ศ.2485  มีฐานะเป็นองค์การอิสระอยู่ภายใต้การกำกับการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
          อำนาจหน้าที่ของธนาคารกลาง
            1)  หน้าที่ออกธนบัตร  ตามปกติธนาคารกลางของประเทศต่างๆ  จะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ออกธนบัตร  เพื่อจะได้ควบคุมปริมาณธนบัตรที่ใช้ให้พอดีกับความต้องการของประชาชนโดยทั่วไปและความต้องการของธุรกิจ  โดยมีกฎหมายควบคุมการออกธนบัตรให้เป็นที่เชื่อถือของประชาชน  ดังพระราชบัญญัติเงินตรา  พ.ศ.2501  “มาตรา  30  ให้สินทรัพย์ดังต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย  ที่จะประกอบขึ้นเป็นทุนสำรองเงินตรา
ทุนสำรองเงินตรา   คือ  สินทรัพย์ที่กฎหมายกำหนดให้เป็นทุนหนุนหลังธนบัตรที่ออกใช้ภายในประเทศ  ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งมีหน้าที่ออกธนบัตร  จะต้องมีหลักทรัพย์เป็นทุนสำรอง  ร้อยละร้อย  ดังดัง
1)  ทองคำ
2)  เงินตราต่างประเทศอันเป็นเงินตราที่พึงเปลี่ยนได้  หรือเงินตราต่างประเทศอื่นใดกำหนดโดยกฎกระทรวง  ทั้งนี้ต้องเป็นรูปเงินฝากในธนาคารนอกราชอาณาจักรหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
3)  หลักทรัพย์ต่างประเทศที่มีการชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศที่ระบุไว้ในข้อ  2
4)  ทองคำและสินทรัพย์ต่างประเทศที่นำส่งมอบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
5)  ใบสำคัญสิทธิพิเศษถอนเงิน
6)  หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่จะมีการชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศที่ระบุไว้ในข้อ  2  หรือเป็นเงินบาท
7)  ตั๋วเงิน  ในประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพึงซื้อ  หรือรับช่วงซื้อลดได้  แต่ต้องมีค่ารวมกันไม่เกินร้อยละยี่สิบของจำนวนธนบัตรที่ออก
ทุนสำรองตามข้อ  1  2  3  4  5  6  และ  7  รวมกันต้องเป็นร้อยละร้อยของธนบัตร  และต้องมีทุนสำรองตามข้อ  1  2  3  4  และ ไม่น้อยกว่าร้อยละหกสิบ

          2)  เป็นนายธนาคารของรัฐบาล  ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่เป็นนายธนาคารดังต่อไปนี้
                   2.1)  เป็นผู้รักษาเงินฝากของรัฐบาล
                   2.2)  เป็นผู้ให้กู้ยืมแก่รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ
                   2.3)  เป็นตัวแทนทางการเงินของรัฐบาล
          3)  เป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์  ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับอำนาจตามกฎหมายในการควบคุมการดำเนินกิจการของธนาคารพาณิชย์  และดูแลกิจกรรมดังต่อไปนี้
                   3.1)  หน้าที่ในการรับฝากเงิน  ธนาคารพาณิชย์จะต้องฝากเงินสดสำรองตามกฎหมายไว้ที่ธนาคารกลาง  นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์มักจะฝากเงินสดส่วนที่เกินความจำเป็นต้องใช้ไว้กับธนาคารกลาง
              3.2)  หักบัญชีระหว่างธนาคาร  การที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องฝากเงินสดสำรองตามกฎหมายไว้ที่ธนาคารกลาง   เมื่อมีหนี้สินระหว่างธนาคารพาณิชย์ด้วยกัน  จึงทำให้ธนาคารกลางมีหน้าที่ช่วยหักลบหนี้สินระหว่างธนาคารพาณิชย์กับธนาคารกลางด้วยกัน
                   3.3)  เป็นผู้ให้กู้ยืมแหล่งสุดท้าย  ธนาคารกลางเป็นแหล่งสุดท้ายที่ธนาคารพาณิชย์จะพึ่งได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามฉุกเฉิน  เช่น  ธนาคารขาดเงิน  เงินสดไม่พอจ่าย  ธนาคารกลางก็จะให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืม
          4)  ดำเนินนโยบายทางการเงิน  เป็นหน้าที่และบทบาทสำคัญของธนาคารกลางในการควบคุมปริมาณเงินของประเทศให้มีปริมาณที่เหมาะสม  โดยใช้มาตรการต่างๆในการแก้ปัญหาทางการเงิน
  1.2.5  ธนาคารพาณิชย์
          ธนาคารพาณิชย์   ตามพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์  (ฉบับที่  2)  พ.ศ.2522  มาตรา  4  ได้ให้ความหมายว่า  ธนาคารพาณิชย์ คือ ธนาคารที่ประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม  เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้และใช้ประโยชน์จากเงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง  เช่น  การให้กู้ยืม  การขายหรือเก็บเงินตามตั๋วเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใดหรือขายเงินตราต่างประเทศ
          ระบบธนาคารพาณิชย์
          1)  ระบบธนาคารอิสระหรือระบบธนาคารเดี่ยว  คือ  ธนาคารที่ดำเนินการโดยเอกเทศ  แต่ละแห่งเป็นหน่วยงานอิสระที่สำนักงานเพียงแห่งเดียว  การดำเนินงานมักทำโดยคนในท้องถิ่น เพื่อบริการคนในท้องถิ่นนั้น
          2)  ระบบธนาคารสาขา  คือ  ระบบธนาคารที่มีสาขาของตนตั้งขึ้นในท้องถิ่นทั่วประเทศหรือต่างประเทศ  ธนาคารสาขาจะดำเนินงานภายใต้นโยบายของสำนักงานใหญ่
          -  การบริการของธนาคาร
          1)  บริการรับฝากเงิน  แบ่งเป็น  3  ประเภทได้แก่
                   1.1)  เงินฝากออมทรัพย์  เงินฝากประเภทนี้เป็นเงินฝากที่สนับสนุนการออมของผู้ออมรายย่อย  ธนาคารจะไม่กำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำที่จะรับฝากแต่ละครั้ง  หรือกำหนดไว้ต่ำมาก  จึงเป็นบัญชีที่ผู้ออมอาจนำเงินฝากไว้แม้ว่าเป็นจำนวนเล็กน้อย  บัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ไม่มีระยะเวลาของการรับฝาก  แต่การให้อัตราดอกเบี้ยกับเงินฝากประเภทนี้ต่ำมาก 
                   1.2)  เงินฝากประจำ  หรือเงินฝากที่มีการกำหนดระยะเวลา  เป็นเงินฝากที่ผู้ฝากจะกำหนดระยะเวลาของการฝากไว้  เช่น  ฝากระยะ  6  เดือน  1  ปี  2  ปี  เป็นต้น   ปกติธนาคารจะกำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำที่ธนาคารจะรับฝากสำหรับการฝากแต่ละครั้ง  เงินฝากประเภทนี้จะได้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประเภทอื่น 
                   1.3)  เงินฝากกระแสรายวัน  เงินฝากประเภทนี้เป็นเงินฝากที่ผู้ฝากจะโอนจ่ายเงินในบัญชีของตนให้กับผู้อื่นได้ด้วยการเขียนเช็คสั่งจ่าย  ธนาคารจะโอนเงินจำนวนเท่ากับที่ผู้สั่งจ่าย  (ผู้เป็นเจ้าของบัญชี)ระบุไว้บนเช็คให้กับผู้ที่นำเช็คมาขึ้นเงิน  โดยปกติแล้วธนาคารจะไม่ให้ดอกเบี้ยกับเงินฝากประเภทนี้
          2)  บริการให้กู้เงิน  แบ่งเป็น  3  ประเภท  ได้แก่
                   2.1)  เงินให้กู้  เป็นเงินที่ธนาคารให้กู้แก่ลูกค้าเป็นเงินก้อน  ลูกค้าผู้กู้จะเบิกเงินไปได้ทั้งจำนวนเพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของตน 
                   2.2)  เงินเบิกเกินบัญชี  แตกต่างจากเงินให้กู้ตรงที่ว่าเมื่อผู้กู้ทำสัญญาขอกู้แบบเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารแล้ว  ธนาคารยังไม่ถือว่าผู้กู้เป็นลูกหนี้ของธนาคาร  จนกว่าผู้กู้จะได้ใช้จ่ายเงินเกินบัญชีกระแสรายวันที่ตนมีอยู่กับธนาคารได้เท่ากับจำนวนเงินที่กำหนดไว้ในสัญญา  สัญญาเงินกู้นี้เป็นสัญญาที่สะดวก  สำหรับผู้ที่ทำการค้าที่บางเวลาต้องใช้เงินจำนวนมาก  แต่ต้องการเงินไปใช้เป็นช่วงเวลาไม่นานนัก  แต่อัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินเบิกเกินบัญชีมักสูงกว่าเงินกู้ประเภทอื่น
                   2.3)  ตั๋วเงินซื้อลด  เป็นวิธีการให้เงินกู้เพื่อการค้า  โดยธนาคารจะรับซื้อตั๋วเงินที่พ่อค้ารายหนึ่งออกให้กับพ่อค้าอีกรายหนึ่ง  ตั๋วเงินนี้เป็นตั๋วเงินที่เกิดขึ้นเนื่องจากการซื้อขายสินค้าซึ่งจะมีการชำระเงินภายหลังแต่พ่อค้าที่ได้รับตั๋วเงินต้องการเงินสดไปใช้ก่อน  จะนำตั๋วเงินนี้ไปขายลดต่อให้กับธนาคาร  ตั๋วเงินประเภทนี้จะเป็นตั๋วที่มีการชำระเงินตามจำนวนที่ระบุไว้หน้าตั๋วในวันที่ตั๋วเงินครบกำหนด 
ตั๋วเงิน  ในทางการเงิน  หมายถึง  ตราสารทางการเงิน  ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ได้กำหนดชนิดของตั๋วเงินออกเป็น  3  ประเภท  คือ
1.  เช็ค  คือ  ตั๋วเงินที่บุคคลหนึ่งสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินให้แก่อีกบุคคลหนึ่ง  หรือจ่ายให้แก่ตนเองโดยกำหนดจำนวนเงินและเวลาไว้แน่นอน
2.  ตั๋วแลกเงิน  คือ  ตั๋วเงินที่บุคคลที่หนึ่ง  สั่งให้บุคคลที่  2  จ่ายเงินให้กับบุคคลที่  3  โดยมีวันครบกำหนดใช้เงินและจำนวนเงินที่แน่นอน
3.  ตั๋วสัญญาใช้เงิน  คือ  ตั๋วเงินที่บุคคลหนึ่งสัญญาว่าจะใช้เงินแก่บุคคลหนึ่ง    วันที่ครบกำหนด  โดยระบุจำนวนเงินที่แน่นอน  ตั๋วสัญญาใช้เงินอาจจะระบุดอกเบี้ยหรือไม่ระบุก็ได้

3.  การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
          4)  บริการอื่นๆ   ชำระค่าสาธารณูปโภค    รับชำระค่าบัตรเครดิตต่างธนาคาร   ให้เช่าตู้นิรภัย
บัตรเครดิต   บัตร ATM (automatic  teller  machine)
1.2.5  ธนาคารเฉพาะ
                ธนาคารเฉพาะ  คือ  ธนาคารที่จัดตั้งโดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเฉพาะเรื่องและจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารนั้น ๆ ปัจจุบันประเทศไทยมีธนาคารเฉพาะจำนวน  6  ธนาคารคือ
          1)  ธนาคารออมสิน  (The  Government  Savings  Bank)  เป็นธนาคารที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน  พ.ศ.2489  ธนาคารออมสินเป็นธนาคารของรัฐบาลทำหน้าที่ระดมเงินออม  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินออมของผู้ออมรายย่อย ๆ  กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในรูปของเงินฝากออมทรัพย์  เงินฝากประจำเป็นส่วนใหญ่และยังระดมเงินออมโดยการขายพันธบัตรออมสินและสลากออมสิน  เป็นต้น  แล้วนำเงินออมมาปล่อยสินเชื่อให้แก่รัฐบาลเป็นส่วนใหญ่  โดยการซื้อพันธบัตรและตั๋วเงินคลังปล่อยสินเชื่อให้แก่รัฐวิสาหกิจ  และหันมาปล่อยสินเชื่อให้แก่ข้าราชการ  พนักงานรัฐวิสาหกิจและประชาชนทั่วไปเพิ่มขึ้น
          2)  ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)  (Bank  for  Agriculture  and  Agricultural  Coperatives หรือ BAAC)  เป็นธนาคารที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2509  โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่  ประมาณร้อยละ  98  ของทุนเรือนหุ้น  ส่วนที่เหลือได้แก่  สหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกร  บริการรับฝากเงินจากประชาชนโดยทั่วไป  และให้สินเชื่อระยะสั้นและระยะปานกลางเกษตรกร  กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร  โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำ  เป้าหมายหลักของธนาคารก็เพื่อส่งเสริมการพัฒนาภาคเกษตรกรรม  ซึ่งครอบคลุมการกสิกรรม  การประมง  การเลี้ยงสัตว์  การทำนาเกลือและให้สินเชื่อการดำเนินธุรกิจที่จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร
          3)  ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)  (Government  Housing  Bank  หรือ  GHB) เป็นสถาบันทางการเงินของรัฐภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง  จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2496 ตามพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์  พ.ศ.2496 เพื่อทำหน้าที่ในการจัดหาเงินทุนด้วยการระดมเงินฝากจากประชาชนมาปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ประชาชน  ในการซื้อที่ดินหรืออาคารหรือเพื่อสร้าง  ซ่อมแซมต่อเติมอาคาร  โดยคิดในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
          4)  ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) (The  Export – Import Bank  หรือ EXIM  Bank)  จัดตั้งขึ้นเมื่อปี  พ.ศ.2536  ตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศไทย พ.ศ.2536  เพื่อประกอบธุรกิจในการส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออก  นำเข้าและการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ  เป็นธนาคารที่ไม่รับฝากเงินจากประชาชนแหล่งเงินทุนได้มาจากทุนประเดิมเทื่อจัดตั้ง  เงินกู้จากธนาคารแห่งประเทศไทยและจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ  ให้สินเชื่อแก่ผู้ส่งออกทั้งสกุลเงินบาทและสกุลเงินต่างประเทศ  และรับประกันการส่งออกเพื่อลดความเสี่ยง 
          5)  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.)  (Small  and  Medium  Enterprise  Development  Bank  of  Thailand หรือ SME Bank) เป็นธนาคารที่เปลี่ยนสถานะมาจากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม  เมื่อวันที่  19  ธันวาคม  2545  ตามพระราชบัญญัติธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย  พ.ศ.2545  เป็นสถาบันที่อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง  ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงอุตสาหกรรม  จัดตั้งขึ้นโดยทำหน้าที่ให้สินเชื่อเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม 
          6)  ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย  (Islamic  Bank  of  Thailand)  จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2545  ตามพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย  พ.ศ. 2545  เป็นสถาบันทางการเงินในกำกับของกระทรวงการคลังดำเนินธุรกิจธนาคารตามหลักของศาสนาอิสลาม  ไม่ทำธุรกรรมที่ต้องห้ามตามหลักศาสนา
1.2.6  สถาบันการเงินที่ไม่ประกอบกิจการธนาคาร
                1)  บริษัทเงินทุน  (บง.) (Finance  Companies) เป็นสถาบันทางการเงินที่จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด  หาทุนเพื่อบุคคลอื่น  โดยบริษัทจะกู้ยืมเงินจากประชาชนทั่วไปโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน  แล้วนำมาปล่อยกู้เพื่อการต่าง ๆ
          2)  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) (Securities  Companies) เป็นสถาบันทางการเงินที่จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด  เพื่อทำหน้าที่ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต่าง ๆ ได้แก่  การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์  การค้าหลักทรัพย์  การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน  ปัจจุบันมีบริษัทจำนวนหลายบริษัทแต่ที่เป็นบริษัทสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  มีจำนวน  35  บริษัท
          3)  บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันภัย  (Insurance  Companies)  เป็นสถาบันเอกชนเริ่มดำเนินกิจการตั้งแต่  พ.ศ.2471  ธุรกิจประกันภัย  แบ่งเป็น  2  ประเภท  คือ
                   -  การประกันวินาศภัยเป็นสัญญาเรียกว่า  “กรมธรรม์ประกันภัย”  ซึ่งผู้รับประกันตกลงจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกัน  ตามจำนวนที่รับประกันภัย  การประกันวินาศภัยอาจแบ่งออกเป็นหลายประเภท  เช่น  ประกันอัคคีภัย  ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง  ประกันภัยรถยนต์  เป็นต้น
                   -  การประกันชีวิต  เป็นสัญญาเรียกว่า  “กรมธรรม์ประกันชีวิต”  ซึ่งผู้รับประกันตกลงจะชดใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์  ตามที่ตกลงในสัญญา
          4)  บริษัทเครดิตฟองซิเอร์  (Credit  Foncier  Companies)  เป็นสถาบันเอกชนเริ่มดำเนินกิจการตั้งแต่ปี  พ.ศ.2512  โดยมีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืมเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์  เช่น  บ้านและที่ดิน  การกู้ยืมจะต้องใช้บ้านและที่ดินค้ำประกัน
          5)  โรงรับจำนำ  (Pawnshops)  เป็นธุรกิจการเงินขนาดเล็ก  เริ่มดำเนินกิจการตั้งแต่  พ.ศ.2409  วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปกู้ยืมโดยการรับจำนำสิ่งของ  โรงรับจำนำแบ่งออกเป็น  3  ประเภทคือ      -  โรงรับจำนำเอกชน
                   -  สถานธนานุเคราะห์  เป็นโรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยกรมประชาสงเคราะห์
                   -  สถานธนานุบาล  เป็นโรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยเทศบาล
          6)  สถาบันการเงินอื่น ๆ เช่น  สหกรณ์การเกษตร  สหกรณ์ออมทรัพย์  เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น